ชุมชนลูกองค์พ่อจตุคามรามเทพ พระโพธิสัตว์พังพระกาฬชุมชนลูกองค์พ่อจตุคามรามเทพ พระโพธิสัตว์พังพระกาฬ
กันยายน 08, 2024, 11:00:24 AM*

ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว:
การค้นหาขั้นสูง  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: แสงทิพย์ - สีอันเป็นทิพย์ - ภาพมายา  (อ่าน 6681 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
phuwadol
webmaster
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 797


ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก

kunphu_plus@hotmail.com
เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: เมษายน 05, 2009, 12:06:01 AM »

แสงทิพย์

สิ่งประดิษฐกรรมทางวิทยาศาสตร์อันเกิดจากความรู้ว่าภาพ และ เงา เป็นอะตอมของอนุภาคสสารและพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็คือ แสง ถ้าไม่มีแสงก็ไม่มีภาพ และเงา  ยิ่งรู้ว่าแสงเดินทางไปโดยไม่ต้องอาศัยอากาศธาตุ เป็นสื่อด้วยความเร็วจนไม่มีสิ่งใดเดินทางไปได้เร็วกว่าแสง จึงเป็นการค้นพบ “กฎของมายา” ก็คือรู้ว่าถ้าจะทำ อนุภาคของสะสาร ให้เดินทาวไปได้เร็วเท่ากับแสงจะต้องทำให้อนุภาคของสสารนั้นมีค่าเป็น อนันต์ หรือ อินฟินิตี้ ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลง อนุภาคของสสารให้เป็นพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า นั่นเอง
กฎแห่งมายา ก็คือ “กฎแห่งปาฏิหาริย์” นักวิทยาศาสตร์ยุคพระเวทค้นพบมาช้านานแล้วว่าขนาดของ ปรมาณู เท่ากับประมาณส่วนที่แสนของนิ้วฟุต ประกอบขึ้นด้วย มูลรูป ช่องว่างภายในมูลรูปคืออากาศธาตุ และวิชชุรูป ซึ่งวิ่งเวียนไปรอบมูลรูปนั้น ดังปรากฏเรื่องราวอยู่ในคัมภีร์ภควัตคีตา เรียกว่า ปรมาณูจักร จนกระทั่งถึงพุทธศตวรรษที่ 24 นักวิทยาศาสตร์จึงค้นพบเหมือนดังที่เหล่าโยคีกล่าวไว้เมื่อหลายพันปีก่อนว่า อิเล็คตรอน อันเป็นประจุไฟฟ้าขั้วลบ วิ่งวนเวียนไปรอบ โปรตรอน นิวตรอน ที่อยู่รวมกับนิวเคลียส ที่เป็นประจุไฟฟ้าขั้วบวก เท่ากับมนุษย์ค้นพบอนุภาคของสสารขนาดจิ๋วที่สุด เล็กยิ่งกว่าสิ่งที่เล็กที่สุดคือ อะตอม หรือ ปรมาณูจักรเสียอีก ทั้งยังรู้ต่อไปว่าการที่ อิเล็คตรอน วิ่งวนเวียนไปรอบๆโปรตรอน ลันิวตรอนนั้น ก็เหมือนกับ ดาวพระเคราะห์ โคจรไปรอบดวงอาทิตย์ และดวงอาทิตย์ โคจรไปรอบดาราจักรหรือกาแล็คซี่ คล้ายกับการทำงานของเครื่องจักรกลจักรวาลที่มีขนาดใหญ่มหึมาที่สุด จนไม่อาจเขียนให้เข้าใจได้เป็นลายลักษณ์อักษร
การทำงานของเครื่องจักรกลแห่งจักรวาลที่ละเอียดซับซ้อนยุ่งเหยิง และในส่วนของสิ่งที่เป็นพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วงหรือแรงดึงดูด และแรงนิวเคลียร์ ล้วนแต่มองไม่เห็นไม่มีรูปกาย แต่รู้กันว่าภายใต้การทำงานของจักรวาลขนาดจิ๋วที่สุดคือ อะตอม หรือ ปรมาณูจักร ไปถึงจักรวาลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือ สากลจักรวาล ได้ปรุงแต่งแปลงสภาพของสสาร และ พลังงาน ได้กลายเป็นวัตถุธาตุในรูป ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ เทหวัตถุในท้องฟ้านานาประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกของเรา เป็นดาวพระเคราะห์เพียงดวงเดียวในระบบสุริยจักรวาล ที่มีสสารคือกระแสธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ อยู่อย่างพร้อมมูลที่สุด และมีขนาดพอเหมาะไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป ทั้งยังบังเอิญที่ตั้งอยู่ในรัศมีที่จะรับแสงจากดวงอาทิตย์อย่างพอดี ไม่ไกลไม่ใกล้จนเกินไปจาก ดาวพุธ ดาวศุกร์ และดาวอังคาร โลกจึงได้มีความอบอุ่น เครื่องจักรกลแห่งจักรวาลสามารถปรุงแต่งแปลงสภาพอะตอมของสสาร หรือกระแสธาตุทั้งหลาย ด้วยการฉายแสงทิพย์ จากดวงอาทิตย์ทำให้อะตอมของสสารในโลกรวมตัวกันเป็นรูปกายของสรรพสิ่งทั้งหลายดังที่เห็นกันอยู่ ทั้งที่เป็น วัตถุธาตุที่ไม่มีชีวิต และ วัตถุธาตุที่มีชีวิต พร้อมกันนั้นได้ฉายแสงทิพย์เอาพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปประจุไว้ในวัตถุธาตุนั้น ด้วยเหตุนี้แม้แต่ ก้อนหิน ต้นไม้ สัตว์โลกทั้งหลายมีกัมมันตภาพรังสีอยู่ภายในทั้งสิ้น คงแตกต่างกันเฉพาะสัตว์โลก 2 ชนิด คือ สัตว์เดรัจฉานมีกัมมันตภาพรังสีในรูป “สัญชาตญาณ” ส่วนสัตย์มนุษย์มีกัมมันตภาพรังสีในรูป “จิตวิญญาณ”
มหาโยคีผู้ยิ่งใหญ่ทุกรูป ผู้ที่แสวงหาปรมัตสัจธรรมซึ่งไม่ยึดติดกับคำสอนของศาสนาใด ล้วนบรรลุความรู้แจ้งว่า ในสากลจักรวาลไม่มีวัตุธาตุ เพราะเนื้อแท้ของวัตถุธาตุในจักรวาลเป็นภาพลวงตาก็คือ มายา สิ่งที่เห็นเป็นภาพมายาเกิดจาก แสง ดังนั้นความรู้ในเรื่อง กฎแห่งปาฏิหารย์ ของผู้เข้าถึงปรมัตสัจธรรมที่แท้จริงซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คนที่สามารถทำให้ อนุภาคของสสาร หรือ อะตอม เป็นพลังงาน เพื่อให้มีคุณสมบัติเท่ากับความเร็วของแสง ตามกฎสัมพัทธภาพของ นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์มหาอัจฉริยะแห่งยุคคือ อัลเบิร์ต ไอร์สไตน์  ประกาศให้โลกรู้ว่า พลังงานในอนุภาคของสสารทุกชนิด มีค่าเท่ากับน้ำหนักของอนุภาคสสารนั้น คูณด้วยเศษหนึ่งส่วนสองของความเร็วแสง พลังมหาศาลของอะตอมจะเกิดขึ้นเมื่อมีการทำลายอนุภาคของสสารทั้งหลาย หมายความว่า การตายของสสารก่อให้เกิดเป็นระเบิดปรมาณูขึ้นในโลก
ด้วยเหตุนี้บรรดาพระโยคีหรือผู้สำเร็จญาณสมาธิชั้นสูงระดับศาสดราจารย์ ซึ่งศาสนาพุทธ นิกายมหายาน เรียกว่า นิรมาณกาย หรือ สัมโภคกาย ส่วนการสำเร็จญาณเป็น พระโสดาบัน หรือ อรหันต์ ในศาสนาพุทธหินยาน เป็นหนทางเข้าสู่พระนิพพานตามคำสอนของศาสนา แตกต่างกับการศึกษาค้นคว้าในเรื่องวิทยาศาสตร์จิตวิญญาณโดยสิ้นเชิง  เพราะว่าพระพุทธองค์ทรงห้ามมิให้ภิกษุอวดอุตริมนุษย์ธรรม ในสิ่งที่อยู่เหนือสติปัญญาของคนทั่วไป สิ่งที่เป็นพุทธวิสัย ญาณวิสัย สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ที่จะรู้ เป็นอวัยยะกตา แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ทรงสอน ไม่แสดง ทั้งยังมีพุทธบัญญัติห้ามเอาไว้อย่างชัดเจน

ความรู้เหนือธรรมชาติที่เรียกว่า กฏแห่งปาฏิหาริย์ นั้น ก็คือพระโยคีหรือผู้สำเร็จญาณทัศนะระดับสูงมาก จนสามารถทำจิตของตนให้เกิดสมาธิอันแน่วแน่ได้ในทันที ปลดปล่อย วิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ภายในหรือที่เรียกว่า วิญญาณทิพย์ ให้หลุดพ้นจากการควบคุมของ เนื้อกาย และ  จิตใจ รับรู้ได้โดยฉับพลันว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลคือ แสงไม่ว่า แสงที่เป็นดิน แสงที่เป็นน้ำ แสงที่เป็นลม แสงที่เป็นไฟ จึงได้เปลี่ยนปลงร่างของตนให้เป็นแสง เพื่อหลุดพ้นจากสภาวะจิตที่เป็นสสาร ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของ กาละเทศะ และ ทวิภาวะ อันเป็นการบรรลุความเป็น แสงทิพย์ เหมือนดังแสงแห่งจักรวาล สามารถใช้แสงทิพย์ของตนฉายไปยังอะตอมหรือโมเลกุลของสสาร บันดาลให้เกิดเป็นภาพหรืออะไรก็ได้ตามปรารถนาในรูปของสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อสนองความต้องการของผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาตั้งจิตอธิษฐานขอพร การดลบันดาลตามกฎปาฏิหารย์ที่ล่วงรู้ความลับในเรื่อง มายา มีหลักฐานว่ามหาโยคีผู้มีชื่อเสียงของอินเดีย เช่น มหาโยคีบาบาจิ มหาโยคีลาหิริ มหาสัย มหาโยคีศรียุกเตศวร มหาโยคีโยคานันทะ บรมหงส์ มหาโยคีสวามี รามกฤษณะ มหาโยคีสวามี วิเวกานันทะ เป็นต้น ส่วนผู้บรรลุธรรมของศาสนาพุทธ มหายาน เช่น อาจาร์อัศวโฆษ อาจารย์นาคารชุนโกณฑะ อาจารย์วสุพันธ์ ล้วนแต่กล่าวตรงกันว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล คือแสง  ความรู้ในเรื่องแสงทำให้นักวิทยาศาสตร์สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์เป็นเครื่องยนต์กลไก ด้วยวัตถุธาตุในโลกให้กลายเป็นวัตถุธาติมีชีวิต โดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารูปพลังงานขับเคลื่อน ดังเช่น รถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน ยานอวกาศเดินทางโดยไร้คนขับออกไปสำรวจจักรวาล เป็นต้น กระบวนการสร้างสรรค์วัตถุธาตุที่ไม่มีชีวิต ให้เป็นวัตถุธาตุที่มีชีวิตด้วยกลไกทางอิเล็คโทรนิค ก็คือ การปลุกเสกทางวิทยาศาสตร์
องค์จตุคามรามเทพ ต้องการให้ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาทั้งหลายมีความเข้าใจตรงกันไม่สับสนในเรื่อง “การปลุกเสก” โดยให้ผู้เขียนอธิบายขยายความในเชิงเปรียบเทียบกับความก้าวหน้าในทางวิทยาศาสตร์ ให้เกิดความรู้ความใจไม่หลงทิศผิดทาง เมื่อเห็นผู้เขียนและองค์จตุคามรามเทพประกอบพิธีกรรมขึ้นที่ไหนเวลาใด ขอให้จินตนาการไปตามที่ผู้เขียนเรียบเรียงให้รู้ว่า องค์จตุคามรามเทพ ได้ฉายแสงทิพย์ของผู้ชนะ กาละ เทศะ ทวิภาวะ หมดสิ้นจากกิเลสแล้วเพื่อบันดาลให้ วัตถุมงคล ที่ได้สร้างขึ้นเป็นรูปประติมากรรมบังเกิดพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ตามความมุ่งหมาย โดยไม่มีความจำเป็นต้องใช้คาถาอาคม หรือเวทย์มนต์บทใด หรือความเชื่อตามคำสอนของศาสนาไหน แต่อาศัยองค์ความรู้ในเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณแห่งจักรวาลของ องค์จตุคามรามเทพ และ ความรู้ในวิชาวิทยาศาสตร์ ตลอดจนศาสตร์ทั้งหลายเท่าที่ผู้เขียนเรียนรู้มาตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมืองและผู้ที่เลื่อมใสศรัทธา ตามที่ตั้งปณิธานไว้เมื่อครั้งสร้าง หลักเมืองนครศรีธรรมราช
 

                                                                                                 เรียบเรียงโดย
                                                                                                       พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
                                                                                             (อดีต)ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 05, 2009, 12:33:06 AM โดย phuwadol » บันทึกการเข้า

ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก ฉันมีสมองเงินล้าน !

http://www.xenmax.com
phuwadol
webmaster
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 797


ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก

kunphu_plus@hotmail.com
เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 05, 2009, 12:08:45 AM »

สีอันเป็นทิพย์

ถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า แสงอาทิตย์ ที่เรียกว่า แสงขาว เป็นแสงที่ทำให้เกิดสิ่งทื่มีชีวิตในโลกนี้ แสงสว่างของดวงอาทิตย์ช่วยให้ มนุษย์ สัตว์ มองเห็น พืช และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกต้องได้รับแสงอาทิตย์จึงเจริญเติบโต ถ้าปราศจากแสงอาทิตย์เสียแล้วโลกก็จะดับมืด หนาวเหน็บจนสิ่งมีชีวิตตายหมด แสงจึงเป็นพลังงานที่ให้ความร้อน ความอบอุ่น และเป็นอนุภาคสสาร เดินทางด้วยแรงสั่นสะเทือนของแม่เหล็กไฟฟ้าในลักษณะเป็นคลื่น มีทั้งคลื่นสั้นคลื่นยาว ภายในแสงอาทิตย์ประกอบด้วยสีมากมาย เช่น สีแดง สีแสด สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน สีคราม สีม่วง เห็นได้เมื่อแสงเกิดหักเหอันเกิดจากละอองไอน้ำในอากาศกระทบกับแสง ทำให้เกิดมีดังกล่าวเมื่อ รุ้งกินน้ำ หรือ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทรงกลด หรือด้วยวิธีการสเปกตรัม
ส่วนความรู้ในภาควิชาโหราศาสตร์เห็นว่า สีทั้งหลายที่ซ่อนแฝงอยู่ภายในแสงอาทิตย์นั้นเป็นอนุภาคแสงของดาวพระเคราะห์ เมื่อถูกแสงอาทิตย์ส่องไปกระทบพื้นผิวก็จะสะท้องอนุภาคแสง หรือรังสีกลับมา อนุภาคแสงของดาวเคราะห์ไม่สามารถส่องแสงมาถึงโลกได้เลย ถ้าไม่มีแสงอาทิตย์เป็นสื่อนำเข้ามา ยกเว้นแต่ แสงจันทร์ เพียงดวงเดียวเท่านั้นที่ส่องแสงสว่างนวลใยยามค่ำคืน แสงอาทิตย์และแสงจันทร์ซึ่งสาดส่องเข้ามายังโลก ได้กลายเป็นกฎลี้ลับในทางโหราศาสตร์ว่าด้วย “สุริยัน – จันทรา” ที่บันดาลให้เกิดความรู้มากมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความรู้ทางดาราศาสตร์ ดังคำกล่าวที่ว่า อาทิตย์เป็นพ่อ จันทร์เป็นแม่  ราหูเป็นลูก คนโบราณจึงเรียก โลกของเราว่า ราหู ดังปรากฎในเทพนิยายปรัมปรามากมายจนไม่อาจกล่าวให้หมดสิ้นได้ แต่ด้วยอนุภาพของ แสงอาทิตย์  แสงจันทร์ ซึ่งศิลาจารึกของพระเจ้าจันทรภาณุสลักข้อความสะท้อนนัยความหมายว่า ขจัดความมืดมัวในโลก อาจเปรียบได้กับหลักอภิปรัชญาสางขยะลัทธิ ซึ่งมีมาก่อน ศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธ กล่าวถึง จิตวิญญาณของมนุษย์ หรือที่เรียกเป็นภาษาอินเดียว่า “ปุรุษะ” นั้น ประกอบด้วยสิ่งสำคัญ 3 ประการ คือ พุทธิปัญญา อหังการ และมนัส ที่เปรียบดังเปลือกนอกที่ห่อหุ้ม วิญญาณบริสุทธิ์ ไว้ภายใน ความรู้ในทางพุทธิปัญญาไม่สามารถขจัดความหลงผิดของภาพมายาได้ เพราะว่าภาพมายาเกิดจากการปรุงแต่งของ สีรุ้ง แต่สีอันเป็นทิพย์แท้จริงก็คือ สีแห่งทิวา และสีแห่งราตรี เท่านั้น
ปรัชญาของเหลาจื้อ ซึ่งประกอบด้วยอักษร 5,000 ตัว ดังปรากฎในคัมภีร์เต๋าเต๊กเก็ง กล่าวถึงสภาวะของธาตุที่ก่อให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ก็คือการทำปฏิกิริยาระหว่าง ฟ้ากับดิน เรียกว่า หยิน-หยาง  อันเป็นบ่อเกิดของอภิปรัชญาจีนที่มีชื่อเสียง ใช้สัญลักษณ์เส้น 3 เส้น แทนความหมายของ แสงและระบบธาตุในโลก เรียกว่า ปา-กว้า  หรือ โป้ยก่าย  อันแสดงให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจของสี แวง ของภาคกลางวัน และภาคกลางคืนในโลก ทำนองเดียวกับ กบิลดาบส ผู้เป็นปฐมาจารย์ของปรัชญาสางขยะลัทธิ ที่ใช้สีขาว สีแดง และสีดำ  แทนสัญลักษณ์แห่งความหมายอันยิ่งใหญ่ของการค้นพบปรมัตสัจธรรมว่า แสงสีขาว อันเกิดจากแสงอาทิตย์ส่องกระทบพื้นผิวโลก แล้วสะท้อนกลับขึ้นไปบนชั้นฟ้าที่เรียกว่า พระเกตุก็คือ คลื่นพลังของชีวิต แสงสีแดงในยาม รุ่งอรุณและสนธยา ของดวงอาทิตย์บ่งบอกถึง ความรุ่งเรืองและกำลังตกต่ำ ความมืดดำของโลกภาคกลางคืน ถือว่าเป็นศาสตร์ล้ำลึกยิ่งใหญ่เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในเรื่อง พระราหู ซึ่งจะอธิบายรายละเอียดในภายหลัง สีทั้ง 3  จึงเปรียบดังสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของวิทยาศาสตร์จิตวิญญาณ
พระผงนาคปรก 5 เศียร  จึงเป็นรูปประติมากรรมที่ องค์จตุคามรามเทพให้สร้างขึ้นเพื่อรับปี พระราหูอวตาร เพื่อช่วยเหลือบ้านเมืองและประชาชน ที่อาจตกทุกข์ได้ยากจากภัยพิบัติของชะตากรรมที่ไม่น่าไว้วางใจ เมื่อดาวพระเสาร์โคจรทับดวงจันทร์ในราศีธาตุน้ำ ดาวพฤหัสบดีโคจรอยู่ในภพมรณะของดวงเมือง ในปีที่พระราหูอวตารจึงทำให้ พระราหู มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชเหนือกว่า ดาวพระเคราะห์ทั้งหลายโลกย่อมประสบความยุ่งยากวุ่นวายอย่างหนักหนาสาหัส ดังจะเห็นได้จากการเริ่มต้นราหูอวตาร เรือโดยสารและเครื่องบินของประเทศอินโดนีเซียจมทะเล คนตายหลายร้อยคน เกิดน้ำท่วมใหญ่ในประเทศมาเลเซีย และเกาะสุมาตรา ผู้คนล้มตายประชาชนไร้ที่อยู่อาศัยหลายแสนคน ประเทศไทยเกิดรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาล พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร  ส่งผลกระทบไปถึงปัญหาระหว่างประเทศมากมาย จนสมาคมพ่อค้าชาวต่างประเทศเรียกร้องรัฐบาลให้ทบทวนปัญหาเรื่องการลงทุนการค้า ข่มขู่ว่าจะใช้มาตรการตอบโต้และถอนทุนออกนอกประเทศ ตลาดหุ้นตกต่ำอย่างน่ากลัว สารพัดปัญหารุมเร้าทวีความหนักหน่วงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อดวงอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีธาตุน้ำคือ ราศีมีน ให้แสงแก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวราหู ในดวงเมือง ส่งกระแสธาตุไปกดดัน ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ซึ่งให้ทุกข์โทษอยู่แล้ว ประเทศไทย จะประสบความวิบัติขนาดไหน เศรษฐกิจจะพินาศล่มจมเหมือนเมื่อเกิด วิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ.2540 หรือไม่ องค์จตุคามรามเทพ เท่านั้นที่รู้ ผู้เขียนของยืนยันว่าการสร้าง  พระผงนาคปรก 5 เศียร เพราะล่วงรู้ล่วงหน้าว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ทำกันมาอย่างนี้ทุกครั้งในแบบปิดทองหลังพระ จึงไม่บอกกล่าวให้ใครรู้ยกเว้นแต่พวกศิษยานุศิษย์ ที่รักแผ่นดิน
 
                                                                                                เรียบเรียงโดย
                                                                                              พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
                                                                                         (อดีต)ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 05, 2009, 12:40:43 AM โดย phuwadol » บันทึกการเข้า

ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก ฉันมีสมองเงินล้าน !

http://www.xenmax.com
phuwadol
webmaster
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 797


ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก

kunphu_plus@hotmail.com
เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 05, 2009, 12:10:09 AM »

ภาพมายา

นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีมีชื่อว่า จิโอดาโน บรูโน ได้เสนอความรู้ทางดาราศาสตร์ใหม่ดวงอาทิตย์เป็นแต่เพียงดาวฤกษ์ดวงหนึ่งเท่านั้น ยังมีดวงอาทิตย์อีกมากมาย และมีดาวเคราะห์แบบโลกอีกนับไม่ถ้วน ถือว่าเป็นความคิดนอกรีตขัดต่อหลักธรรมของฝ่ายศาสนจักร จึงถูกพิพากษาให้ประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็นที่หลักประหารในกรุงโรม เมื่อ พ.ศ.2143 แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งนักวิทยาศาสตร์ให้ให้ยุติการศึกษาความจริงของธรรมชาติได้ กาลิเลโอ กาลิเลอี ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ได้ถูกสำนักวาติกันบังคับให้ถอนคำสั่งสอนนอกรีตว่า โลกมีสัณฐานเป็นรูปทรงกลม หมุนรอบตัวเองและโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ ไม่เช่นนั้นต้องได้รับโทษถึงตายเช่นกัน
แม้ว่า กาลิเลโอ กาลิเลอี ต้องยอมถอนคำกล่าวนอกรีตเพื่อรักษาชีวิตรอดก็ตาม แต่ต่อมาฝ่ายศานจักรต้องพ่ายแพ้เมื่อ เซอร์ไอแซ็ค นิวตัน นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้พิสูจน์เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่า แรงโน้มถ่วง หรือ แรงดึงดูด เป็นพลังงานลึกลับที่ไม่มีตัวตนแต่สามารถยึดโยงเหนี่ยวรั้งดาวเคราะห์ทั้งหลายให้โคจรไปรอบดวงอาทิตย์ และเชื่อมโยงโชคชะตามนุษย์รวมทั้งสรรพสิ่งในโลกให้ติดต่อถึงกันกับดวงดาวใน ระบบสุริยจักรวาล ระบบดาราจักร หรือ กาแล็คซี่ อย่างน่าพิศวง
จนกระทั่งโลกวิวัฒนาการล่วงมาถึงพุทธศตวรรษที่ 24 ศาสตราจารย์ เจมส์ คลาร์ก แมกเวลล์ ได้ค้นพบปรากฏการณ์ลึกลับที่สุดของสิ่งทั้งหลายก็คือ “แสงอาทิตย์” สามารถพิสูจน์ได้ว่า แสงอาทิตย์เป็นห่วงโซ่ของสนามไฟฟ้าซึ่งเคลื่อนที่ไปเปลี่ยนแปลงเป็นสนามแม่เหล็ก นำไปสู่ความรู้ว่าแสง เป็นทั้งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในรูปพลังงาน และเป็นอนุภาคของสสาร สามารถเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็ว 186,300 ไมล์ ต่อ 1 วินาที หรือประมาณ 300,000 กิโลเมตร โดยไม่ต้องอาศัยสื่อไม่ว่าเป็นอากาศธาตุ หรือสิ่งอื่นใด แสงจึงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถเดินทางไปได้โดยอัตโนมัติในแบบไร้สาย ในที่สุดมนุษยชาติจึงรู้จักนำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้มหัศจรรย์ในรูป เรดาร์ รังสีอินฟาเหรด รังสีเอ็กซ์ คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ คลื่นไมโครเวฟ แสงเลเซอร์ เป็นต้น
 
 
                                                                                      เรียบเรียงโดย
                                                                                   พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
                                                                                (อดีต)ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
                                                                                          1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 05, 2009, 12:42:11 AM โดย phuwadol » บันทึกการเข้า

ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก ฉันมีสมองเงินล้าน !

http://www.xenmax.com
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

B l a c k - R a i n V.2 by C r i p ~ Powered by SMF 1.1.16 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF XHTML | CSS   

หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.162 วินาที กับ 23 คำสั่ง (Pretty URLs adds 0.001s, 0q)