ชุมชนลูกองค์พ่อจตุคามรามเทพ พระโพธิสัตว์พังพระกาฬชุมชนลูกองค์พ่อจตุคามรามเทพ พระโพธิสัตว์พังพระกาฬ
กันยายน 08, 2024, 10:57:41 AM*

ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว:
การค้นหาขั้นสูง  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระราหู  (อ่าน 14184 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
phuwadol
webmaster
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 797


ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก

kunphu_plus@hotmail.com
เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: เมษายน 05, 2009, 12:16:28 AM »

พระราหูคืออะไร (1)

           เรื่องราวของ  พระราหู  ได้กลายเป็นปัญหาถกเถียงกันมานาน  แต่ยังหาข้อยุติไม่ได้คัมภีร์เฉลิมไตรภพ ในวิชาโหราศาสตร์กล่าวถึงเกล็ดตำนานของ  พระราหู  ไว้ว่า  เป็นเทวดาครองวิมานอยู่เหนือโลก  พระอิศวรทรงสร้างขึ้นมาจากหัวผีโขมดป่า  12  หัว  นำมาบดป่นประพรมด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์  กลายเป็นเทพบุตรมีอำนาจอยู่ในสวรรค์  ต่อมาเหล่าเทวดาชุมนุมกันกวนน้ำอมฤตได้ชักชวนพระราหูเทพบุตรร่วมกันทำน้ำศักดิ์สิทธิ์  แต่พระราหูแกล้งแชเชือนเถลไถลเสีย  เมื่อเหล่าเทวดากวนน้ำทิพย์เสร็จสิ้น  พระราหู  ได้แอบเข้าไปดื่มกิน  พระอาทิตย์  พระจันทร์  ไปพบเห็นเข้าจึงนำความไปฟ้องร้องพระนารายณ์  ผู้เป็นใหญ่ในแดนสวรรค์  พระองค์ทรงพิโรธขว้างจักรไปถูกพระราหูกายขาดออกเป็น 2 ท่อน  เดชะบุญที่ได้ดื่มกินน้ำอมฤตจึงไม่ตาย  คงล่องลอยอยู่ในชั้นฟ้าคอยหาคนโบราณมีความเชื่อในเรื่อง  พระราหู  ไล่จับพระอาทิตย์  พระจันทร์  กลืนกิน  ดังนั้นคราใดที่เกิดสุริยุปราคา  จันทรุปราคา  ขึ้นก็ชวนกันตีเกราะเคาะไม้  จุดประทัด  ยิงปืน  ให้เกิดมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว  นัยว่าอาจทำให้พระราหูเกิดความกลัว  รีบคาย  พระอาทิตย์  พระจันทร์  จนกลายเป็นประเพณีสืบมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนั้นพระไตรปิฏกในพระพุทธศาสนา   ก็กล่าวถึงเรื่อง  พระราหู  ไว้ใน  จันทิมสูตรและสุริยสูตร  ว่าด้วย พระราหู  พระอาทิตย์  พระจันทร์   ไว้ว่า
สมัยเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า  ประทับอยู่ที่นครสาวัตถี  จันทิมเทวบุตรถูกอสุรินทราหูจับกลืนกิน  จึงได้ขอให้พระองค์ช่วยเหลือให้พ้นภัยจากอำนาจพระราหู   พระองค์จึงร้องขอให้พระราหูยุติการทำร้ายพระจันทร์  แต่พระราหูไม่ยอมฟัง  พระพุทธองค์จึงทรงสำแดงปาฏิหาริย์ขับคาถา  ทำให้พระราหูรีบคายพระจันทร์  ทำนองเดียวกับ  สุริยเทวบุตร  ถูกพระราหูไล่จับกลืนกิน พระพุทธองค์ก็ทรงช่วยเหลือให้พ้นภัย
บางชาดกก็กล่าวความในทำนองว่า  พระพุทธเจ้าทรงมีฤทธิ์อำนาจเหนือบรรดาพรหม  และเทวดาทั้งหลาย  จึงนับถือยกย่องพระพุทธเจ้า  แต่พระราหูเทวบุตรถือตนว่าเป็นใหญ่เหนือกว่าใครในสวรรค์  จึงไม่ยอมนบนอบต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าและแสดงลักษณะท้าทาย  ใคร่ประลองฤทธิ์เดชกับพระพุทธองค์  ดังนั้นวันหนึ่งเมื่อพระราหูทำท่าทีเป็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า  พระองค์กระทำปาฏิหาริย์เนรมิตพระวรกายให้ใหญ่โตมโหฬาร  ยิ่งกว่าพระราหูหลายเท่าเหมือนดังแมลงมุมเกาะชายจีวรของพระศาสนา  ทำให้พระราหูลดทิฐิมานะหมดความกระด้างกระเดื่อง  กลับใจมาเลื่อมใสพระพุทธศาสนา
ข้อความเหล่านี้ทำให้เกิดความสำคัญผิดคิดว่า พระราหู  เป็นยักษ์มารสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้าย  เหตุไฉนผู้สร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชจึงอ้างว่า  รูปพระราหูอมพระอาทิตย์ อมพระจันทร์  เป็นรูปรอยตราแผ่นดินของพวกศรีวิชัย  และนำมาสร้างวัตถุมงคลของศาลหลักเมือง  จึงทำให้เกิดสงสัยว่าแท้จริงแล้ว พระราหู คืออะไร
ตามทฤษฎีทางโหราศาสตร์  ระบบสุริยคติ  ของชาวศรีวิชัยยึดถือว่า  ดวงพระอาทิตย์เป็นขุมคลังแห่งแสงและพลังความร้อน  อันเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล  มีดาวเคราะห์น้อยใหญ่ 7 ดวงเป็นบริวาร  ดาวเคราะห์เหล่านี้นอกจากหมุนรอบตัวเองแล้ว  ยังโคจรรอบดวงพระอาทิตย์เพื่อรับแสง  และพลังความร้อนอยู่ตลอดเวลา
ในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหลาย  โลกเราถือได้ว่าเป็นดาวเคราะห์ที่มีขุมพลังธาตุ ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  อยู่อย่างพร้อมมูลที่สุด ทั้งยังมีชั้นบรรยากาศอันหนาแน่นห่อหุ้มอยู่โดยรอบ  ชั้นบรรยากาศที่ใสเหมือนดังเรือนกระจกนี้  ไม่เพียงแต่เป็นเกราะป้องกันไม่ให้โลกธาตุหลุดลอยออกไปได้แล้ว  ยังควบคุมอุณหภูมิให้เกิดความอบอุ่นเหมาะสม  สำหรับเป็นแหล่งกำเนิดของมวลชีวิตด้วยจึงถือว่ามีคุณสมบัติพิเศษยิ่งกว่าดาวเคราะห์ใด  ทั้งยังมีดวงจันทร์  เป็นดาวบริวารโคจรไปรอบโลกคอยส่องแสงให้เกิดสว่างในยามค่ำคืนอีกด้วย  ชาวศรีวิชัยจึงจำแนกโลกออกจากระบบสุริยจักรวาลมาเป็นระบบย่อยเรียกว่า " ระบบจันทรคติ"  โดยยึดถือดวงจันทร์เป็นใหญ่  เพราะค้นพบนัยความหมายว่า  ดวงจันทร์  มีคุณต่อโลกอย่างหาที่สุดมิได้  หากปราศจากดวงจันทร์เสียแล้ว   โลกนี้ก็คงอ้างว้างว่างเปล่าเหมือนดังดาวเคราะห์ดวงอื่น  ไม่มีมวลชีวิตและธรรมชาติในโลก  กล่าวกันว่าข้างขึ้นข้างแรม  น้ำขึ้นน้ำลง  ประจำเดือนสตรี  เป็นได้ชัดว่าเกิดจากอิทธิพลของดวงจันทร์
การที่โลกหมุนรอบตัวเอง และโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ซีกโลกอีกด้านหนึ่งไม่ได้รับแสงสว่างจะบังเกิดเป็น เงามืด  เรียกว่า  กลางคืน  ภายในเงามืดที่หนาวเย็นทำให้ละอองธาตุบังเกิดความชื้น  จับตัวกันมีน้ำหนักและควบแน่น  บังเกิดปฏิกิริยาเห็นได้จากการเป็นสื่อทางเดินของธาตุไฟได้อย่างดี  และมีแรงดึงดูดรุนแรงกว่าในภาคกลางวัน
เหตุที่โลกบังเกิดหดเงามืดขึ้นในภาคกลางคืน  เงามืดของโลกที่ทอดตัวออกไปในชั้นบรรยากาศ  แผ่ขยายขอบเขตออกไปกว้างไกลสุดพรรณนา  ยิ่งไกลออกไปเท่าไหร่  เงามืดก็ยิ่งดำมืดมหึมาเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ  ท่ามกลางเงามืดของโลก ในภาคกลางคืนนี่แหละทางโหราศาสตร์เรียกว่า  " พระราหู"   ที่อัดแน่นไปด้วยละอองธาตุทั้ง 4  และคลื่นพลังนานาชนิด  แผ่กระจายขึ้นไปในชั้นบรรยากาศที่หนาวเย็นยะเยือก  แม้ว่ายิ่งบางเบาก็ตาม  แต่คลื่นพระราหูนี้ได้แปลสภาพเป็นสื่ออันทรงประสิทธิภาพของโลก  สำหรับรองรับอนุภาคแสงดาวประการหนึ่ง  และเป็นเส้นทางลำเลียงระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศลงมาปรุงแต่งกันระบบธาตุในโลก  เพื่อให้เกิดรูปธรรมชาติดังที่รู้เห็นกันอยู่  โดยปกติคลื่นบรรยากาศที่อยู่ในเงามืดซึ่งเรียกว่า  พระราหู  เราพบเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตั้งแต่แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า  ความมืดก็ย่างกรายเข้ามาในยามราตรีอันเป็นเวลาสงบร่มเย็น  คนเราจะง่วงเหงาหาวนอนอยากพักผ่อน  ด้วยเหตุนี้โหราจารย์จึงอุปมาพระราหูว่าเหมือนดังนักพรตผู้ทรงศีล  ผู้ใฝ่สันโดษและมักน้อยไม่ใช่ยักษ์มารดังที่เข้าใจกัน  นอกจากนั้นดาวเคราะห์ดวงอื่นก็มีเงามืดเรียกว่า  พระราหู  เช่นเดียวกับโลก  ดังนั้น  พระราหู  ตามความหมายทางดาราศาสตร์จึงแตกต่างกับความเชื่อของคนโบราณ  หรือข้อความในพระไตรปิฏกของพุทธศาสนา
แต่ในวิชาโหราศาสตร์ของชาวศรีวิชัยกล่าวถึงความลึกลับพิสดาร  ที่ซ่อนอยู่ภายในขอบเขตเงามืดของโลก  ซึ่งเราพบเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหลังจากแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ฝุ่นละอองธาตุทั้ง  4   ของโลก  ถูกพลังความร้อนของดวงอาทิตย์เผาผลาญจนระเหยระเหิดล่องลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ  แปรสภาพเป็นพื้นที่สนามธาตุอันยิ่งใหญ่อยู่ภายในเงามืด  ใหญ่โตมโหราฬสุดพรรณนา  เกิดปฏิกิริยาจากความหนาวเย็น  ทำให้รวมตัวกันแน่นหนากว่าภาคกลางวันพลังกดดันของกระแสธาตุนี้เอง  ทำให้คนเราเกิดง่วงเหงาหาวนอน  บ้างก็ดื่มเครื่องดองของเมา  บ้างก็อยากพักผ่อนสนุกสนาน  บ้างก็อยากจำศีลภาวนา  วิชาโหราศาสตร์เรียกความควบแน่นของกระแสธาตุภายในเงามืดของโลกในยามค่ำคืน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนชั้นบรรยากาศของโลกว่า  " ระบบชั้นบรรยากาศธาตุ"  มีการเคลื่อนไหวสั่นสะเทือนเหมือนดังละลอกคลื่นในมหาสมุทร  เนื่องจากการหมุนรอบตัวเองของโลกและโคจรไปรอบดวงอาทิตย์  ระบบชั้นบรรยากาศธาตุภายในเงามืดดังกล่าวนี้  วิชาโหราศาสตร์เรียก " คลื่นพระราหู"  อันเป็นที่มาของนิทานโหราศาสตร์กล่าวว่า  เหล่าเทวดากวนน้ำอมฤตบนสวรรค์ชั้นฟ้าสำเร็จเสร็จสิ้น  ถูกพระราหูแอบขโมยดื่มกิน  จนกลายเป็นตำนานชาติเวรการประกอบอาชญากรรมกันมาตั้งแต่ครั้งเทวดาสร้างโลก  ติดตามจองล้างจองผลาญกันมาจนถึงทุกวันนี้
แท้จริงแล้ววิชาโหราศาสตร์ได้อธิบายให้ทราบว่า  ระบบชั้นบรรยากาศของโลกหรือที่เรียกกว่า  คลื่นพระราหู  นั้น  เป็นแหล่งรองรับอนุภาคแสงดาว  หรือรัศมีดาว  ซึ่งสะท้อนคลื่นพลังแสงมายังโลก  ในรูปสีสันสวยสดงดงามผสมผสานกับแสงอาทิตย์ในตอนกลางวัน  เมื่อกระทบกับละอองธาตุน้ำก็จะเปล่งประกายเป็นสีรุ้งงามจับตา  แต่ในภาคกลางคืนอนุภาคแสงดาวไม่สามารถเดินทางเข้ามาสู่โลกได้  เพราะขาดสื่ออันทรงประสิทธิภาพสูงสุด คือ  คลื่นพลังแสงอาทิตย์ด้วยเหตุนี้คลื่นพลังแสงดาวที่เดินทางไกลแสนไกล  ถูกบังคับให้ผสมผสานกับระบบธาตุของโลก  ไปตามลักษณะของธาตุที่เหมือนกัน  หรือเกื้อกูลกัน  ดังบทประพันธ์เกี่ยวกับการผสมธาตุระหว่างอนุภาคแสงดาว  กับ  ระบบโลกธาตุ  ไว้ว่า"เมื่อมิตรก็ชื่นชอบ  บ่มีโทษแถลงทัณฑ์  ปางเป็นสัตรูสรร  พะบาปะอุบัติเป็น"  ดังนี้เป็นต้น
การปรับแต่งแปลงสภาพระบบโลกธาตุในชั้นบรรยากาศท่ามกลางความมืด  อุปมาดังเหล่าเทวดาผสมพันธุ์กันบนสวรรค์ชั้นฟ้า  อธิบายให้ทราบถึงที่มาของพิธีกวนน้ำอมฤตตามหลักแห่งเหตุผล  ซึ่งนักโหราศาสตร์โบราณพยายามศึกษาค้นคว้า  จนทราบถึงความลับของธรรมชาติอันเป็นต้นกำเนิดของมวลชีวิต  ธรรมชาติ  และการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงขึ้นในโลกตามกฏวัฏจักรอธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างโลก  ชั้นบรรยากาศและดวงดาวในจักรวาล
แต่ระบบชั้นบรรยากาศธาตุที่อยู่นอกโลกหรือคลื่นพระราหูอันเกิดจากการปรุงแต่ง  แปลงสภาพของโลกธาตุและอนุภาคแสงดาว  บันดาลให้เกิดขั้วบวก  ขั้วลบ  และความเป็นกลาง  ล่องลอยวนเวียนอยู่รอบโลก  ถูกแต่งเติมเสริมสภาพให้เกิดความเข้มข้นจากแสงอาทิตย์  แสงจันทร์  อยู่ตลอดเวลา  โลกไม่สามารถดึงดูดลงมาผสมกับระบบธาตุบนพื้นโลกได้  เพราะว่าบนชั้นบรรยากาศอันบางเบา  ฝุ่นละอองธาตุที่ไร้น้ำหนัก  ถูกพลังดึงดูดของจักรวาลต่อต้านขัดขวางไว้เหมือนดังการชักเย่อกัน ระหว่างโลกกับดวงดาว  ไม่มีฝ่ายใดแพ้ชนะกัน  นักโหราศาสตร์ค้นพบว่าดวงจันทร์ที่โคจรไปรอบโลก  คราใดเคลื่อนที่ผ่านมาประสานแรงดึงดูดร่วมกับโลก  จึงสามารถแย่งชิงเอากระแสธาตุบนชั้นบรรยากาศ  ให้เข้ามาอยู่ในรัศมีที่โลกสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้   การดึงดูดกระแสธาตุจากรอบนอกของชั้นบรรยากาศ เข้าสู่ชั้นใน  จึงกลายเป็นที่มาของเรื่องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ซึ่งมีเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่คือ  พระอินทร์  ทรงช้างเอราวัณลอยฟ่องอยู่เหนือวิมานเมฆ  และคำศัพท์ทางวิชาการโหรเรียกว่า"ฤกษ์บน"  และ  "ตรียาง-นวางค์"  พร้อมที่จะหลั่งไหลลงมาผสมผสานกับธาตุในโลก  ดังปรากฏการณ์ฝนตก  หรือ  ลมพัด  ซึ่งเป็นเหตุที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลกไปตามจังหวะที่เรียกว่า   "ฤกษ์ล่าง"   
หลักฐานการค้นพบที่มาอันน่าพิศวงของการก่อกำเนิด  มนุษย์  สัตว์  พืช  และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกของนักโหราศาสตร์  นอกจากอธิบายให้คำตอบได้ว่า  เหตุใดดวงดาวจึงเข้ามามีอิทธิพลต่อชะตาชีวิตของคนเราและความเป็นไปในโลกแล้ว  ยังสรุปความเห็นว่าเงามืดของโลกภาคกลางคืนหรือที่เรียกว่า  พระราหู  เป็นตัวการสำคัญอย่างยิ่ง  ถ้าปราศจากเงามืดอันหนาวเย็นดังกล่าวนี้เสียแล้ว  ระบบชั้นบรรยากาศธาตุไม่สามารถเดินทางเข้ามาปรุงแต่งแปลงสภาพกับธาตุของโลกได้  ดังนั้นเงาราหูจึงเปรียบดัง  ทางเดิน  หรือ  ท่อลำเลียงธาตุจากชั้นบรรยากาศจากรอบนอกสุดขนาดมหึมา  ลงมาสู่ชั้นกลางของบรรยากาศ  ก่อนที่โลกจะดึงดูดลงมาปรุงแต่งแปลงสภาพกับธาตุในโลก  เพื่อให้เกิดสภาพที่เรียกว่าธรรมชาติขึ้นในโลก รากฐานอันก่อให้เกิดสรรพสิ่งทั้งหลาย  แล้วดับสูญไปในรูปวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของ  วัฏสงสาร  ซึ่งขัดแย้งกับนิพพานธรรมด้วยเหตุนี้  พระราหูจึงเป็นบ่อเกิดของกิเลสตัณหา  อุปมาดังมารแห่งพรหมจรรย์  ผู้แสวงหาความหลุดพ้นจะต้องลดละเลิกเพื่อหลีกหนีมายา  อุปาทานโดยเชื่อว่าเป็น  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา
การล่วงรู้ถึงกระบวนการอันซับซ้อนซ่อนเงื่อน  ที่แฝงเร้นอยู่ภายในเงามืดของโลกว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่ง  ในการกำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นเฉพาะในโลกของเรา  เพราะในที่สุดแล้วไม่ว่าอนุภาคแสงแห่งดวงดาว  ระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศ  และระบบธาตุในโลก  ก็ถูกปรุงแต่งแปลงสภาพให้เกิดภาพมายาอุปาทานขึ้นบนพื้นผิวโลก  ในรูปปรากฏการณ์ธรรมชาติ  และเห็นว่าพระราหูเป็นเงามืดที่เกิดจากโลก เฉพาะด้านที่แสงอาทิตย์สาดส่องไปไม่ถึงจึงอ้างว่าพระราหูไม่ใช่ดาวเคราะห์  เปรียบเปรยว่าเป็นอสูรกายท่อนหัว  ที่ถูกจักรพระนารายณ์ตัดขาดลอยละล่องอยู่บนอากาศเหนือโลก  ส่วนท่อนหางลองอยู่ในทิศตรงกันข้าม  ก็คือเวลากลางวันและกลางคืนในโลก
แม้ว่าพระราหูจะมีสภาพเป็นอากาศธาตุที่ห่อหุ้มโลกอยู่ก็ตาม  แต่เป็นตัวการบันดาลให้เกิดสิ่งทั้งหลายโลดแล่นกันบนพื้นผิวโลก  จึงตัดตอนอุปมาเสียใหม่ว่า  พระราหู  หมายถึง  โลก  ซึ่งเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวในจักรวาลที่มี  มนุษย์  สัตว์  พืช  และธรรมชาติ  เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปไม่มีวันสิ้นสุด  เปรียบดังพระราหูถูกจักรพระนารายณ์แม้กายขาดออก 2 ท่อน  ก็ไม่ตายเป็นอสูรกายคอยรังควาญพวกเทวดาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรม  ในที่สุดมนุษย์ก็กบฏต่อพระผู้เป็นเจ้า  และมีฤทธิ์อำนาจยิ่งกว่าเทวดาเสียอีก  เพราะว่าสามารถศึกษาเรียนรู้ความลับของจักรวาล  และความเป็นไปในโลกมนุษย์  อันเป็นที่มาของคำว่า  ศิวศาสตร์  หรือ  โลกศาสตร์  ซึ่งต่อมาเพี้ยนเป็นไสยศาสตร์  ถูกดูแคลนว่าเป็นความเชื่อที่งมงายไร้เหตุผล  จนกระทั้งไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้ว  พระราหู  เป็นอย่างไร  แต่นับว่าโชคดีที่ครูบาอาจารย์ของชาวศรีวิชัย  ได้ถ่ายทอดความรู้วิชาโหรราศาสตร์สืบสานหลักปรัชญากันมาไม่ขาดสายจนถึงปัจจุบัน  จึงสามารถอธิบายให้เหตุและพิสูจน์ได้ว่าพระราหูคืออะไร
กล่าวโดยสรุปแล้ว   พระราหู   ก็คือระบบชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก  ตั้งแต่ระดับชั้นพื้นผิวดิน  จนกระทั่งเขตติดต่อกันแดนอวกาศ  เฉพาะด้านที่ไม่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย ์อาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลตกอยู่ในความมืดมน อนธการดำทะมึน  แผ่ขยายขอบเขตออกไปในห้วงจักรวาล   หาขอบเขตมิได้  แหล่งที่ร่มเย็นไปจนถึงความหนาวเหน็บต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง  เป็นที่รวมของฝุ่นละอองธาตุ  คลื่นพลังนานาประการ  อุปมาดังท่อดึงดูดระบบธาตุจากชั้นบรรยากาศลงมาป้อนให้แก่โลกอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก  จึงเป็นรากฐานการก่อกำเนิดสิ่งทั้งหลายที่เรียกว่า  ธรรมชาติในโลก  วิชาโหราศาสตร์เรียกเงามืดนี้ว่า  พระราหู  มีคุณสมบัติเป็น  อากาศธาตุ  หรือธาตุลมไม่ใช่ดาวเคราะห์
ในภาคพยากรณ์ของวิชาโหราศาสตร์ซึ่งต้องการผลที่เกิดขึ้น เป็นปรากฏการณ์ของสิ่งทั้งหลายในโลก  เนื่องจากการปรุงแต่งแปลงสภาพของระบบธาตุจากชั้นบรรยากาศ กับระบบธาตุในโลกมีส่วนสัมพันธ์กับ  อนุภาคแสงดาว  แสงอาทิตย์  แสงจันทร์  ที่โคจรหมุนเวียนเป็นวงจรจึงเปลี่ยนแปลงกำหนดให้  พระราหู  เป็นโลกอีกอย่างหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้พระราหูจึงหมายถึงโลกและเงามืดของโลกหรือภาคกลางวันในโลก  อันเป็นขุมคลังแห่งวิทยาการที่ศึกษาไม่มีวันจบสิ้น  เพิ่มพูนสติปัญญาให้โลกพัฒนาการรุ่งเรืองจนถึงทุกวันนี้  อย่าดูหมิ่นดูแคลนพระราหู
 
                                                                                                         เรียบเรียงโดย
                                                                                                      พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
                                                                                           (อดีต)ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

----------------------------------------------------------------
พระราหูอมพระอาทิตย์

ในวิชาดาราศาสตร์ถือว่า โลก เป็นดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะจักรวาล เงามืดของโลกที่ไม่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ เรียกว่าพระราหู เช่นเดียวกับดาวเคราะห์ดวงอื่น แต่วิชาโหราศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคพยากรณ์ถือว่า โลก คือ พระราหู เป็นศูนย์กลางของจักรวาลระบบจันทรคติ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ดาวหาง ต่างเป็นบริวารต้องโคจรรอบโลกอยู่ตลอดเวลา อันเป็นที่มาของความเชื่อในเรื่อง พระราหูเทวบุตร มีฤทธิ์เดชไม่ยิ่งหย่อนกว่าเทวดาองค์ใดในสวรรค์ และตำนานการขโมยดื่มน้ำอมฤตของพวกเทวดา จนถูกจักรของพระนารายณ์กายขาดเป็น 2 ท่อน ล่องลอยอยู่ในชั้นฟ้า ท่อนหนึ่งเรียกว่า พระราหู คอยไล่จับพระอาทิตย์และพระจันทร์กลืนกิน แสดงให้เห็นถึงการค้นพบความลับของธรรมชาติมานานแสนนาน แต่ปกปิดซ่อนไว้ในรูปนิทานปรัมปรา ถ้าไม่ศึกษาค้นคว้าพิจารณาให้ถ่องแท้ ก็จะกลายเป็นความเชื่อที่งมงายไร้เหตุผล และไม่มีทางจะเข้าถึงศาสตร์ชั้นสูงอีกระดับหนึ่ง ที่เรียกว่า ญาณศาสตร์ ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าบรรลุชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้ ใครสำเร็จญาณชั้นที่ 8 ย่อมตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์
ดังนั้นก่อนที่จะไปถึงขั้นสำเร็จในระดับญาณศาสตร์ จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และเข้าใจ คุณสมบัติของระบบธาตุในโลก ระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศและระบบจักรวาล หรือทฤษฎีการหมุนเวียนไปรอบจุดศูนย์กลาง ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นบ่อเกิดของพลังศักดิ์สิทธิ์ของแม่เหล็กไฟฟ้า จนถึงการสร้างระเบิดมหาประลัย จึงต้องเข้าใจในเรื่องพระราหู ให้ถูกต้องตามหลักธรรมชาติเสียก่อน ต่อจากนั้นจึงพยายามเรียนรู้เรื่อง หางพระราหู
แท้จริงแล้วโลกของเราภาคกลางวันได้รับแสงอาทิตย์อันร้อนแรง แผดเผาจนวัตถุธาตุบนพื้นผิวโลกละลายกลายเป็นไอระเหยระเหิดลอยขึ้นไปในอากาศ ดังจะเห็นได้จากละอองไอน้ำลอยฟ่องในหมอกเมฆ ควันไฟ หรือสิ่งที่มองไม่เห็นนานาชนิด ฝุ่นละออง ธาตุของโลกที่ล่องลอยขึ้นไปในชั้นฟ้า มิได้หลุดลอยไปนอกโลก แต่ขึ้นไปสถิตอยู่บนชั้นบรรยากาศสะสมเพิ่มมากขึ้นทุกวัน อันเป็นที่มาของระบบดินน้ำลมไฟในชั้นบรรยากาศ ที่วิชาโหราศาสตร์เรียกว่า นวางค์ หรือ ตรียางค์ หรือความเชื่อในเรื่องเทวดามีวิมานอยู่บนสวรรค์ ดังนี้เป็นต้น การค้นพบความสำคัญของระบบชั้นบรรยากาศธาตุที่หุ้มห่อโลกไว้ คอยปรับสภาพอุณหภูมิบนพื้นผิวโลกให้เหมาะสมสำหรับเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นในโลก สืบพันธุ์กันไปไม่ขาดสายนี่เอง ตำนานชาติเวรของดวงดาวจึงบอกว่า พระราหู ถูกจักรพระนารายณ์ กายขาดเป็น 2 ท่อน แต่ไม่ตายเพราะดื่มน้ำอมฤตของเทวดา คือรากฐานการเกิดสรรพสิ่งในโลกโดยมีเหตุอ้างอิงและปฏิเสธเรื่องพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
กล่าวกันว่าระบบโลกธาตุที่ถูกแสงอาทิตย์เผาไหม้ ลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศนั้น ถูกแรงเหวี่ยงของโลกซึ่งหมุนรอบตัวเองและโคจรไปรอบดวงอาทิตย์กดดันควบคุมให้วนเวียน มีลักษณะเป็นเกลียวส่ายไปมาในอากาศ แต่ดวงตาของเรามองไม่เห็น เรียกกันว่า พระเกตุ อยู่ตรงข้ามกับพระราหู เพราะเป็นเรื่องราวของโลกในภาคกลางวัน เช่นเดียวกับธรรมชาติในโลกที่คนเราต้องทำงาน หาอาหารจนค่ำมืดจึงพักผ่อนนอนหลับไปในภาคกลางคืน
หากเข้าใจธรรมชาติของพระเกตุ หรือหางพระราหู ว่าโลกในภาคกลางวันคลื่นพลังแสงและความร้อนของดวงอาทิตย์ สร้างระบบธาตุให้แก่ชั้นบรรยากาศธาตุ เพื่อให้ดวงจันทร์ทำหน้าที่กลั่นกลองผสมธาตุบนชั้นฟ้าในเวลากลางคืน ต่อจากนั้นค่อยส่งแรงดึงดูดร่วมกับโลกแย่งชิงระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศป้อนให้แก่โลก ปรุงแต่งแปลงสภาพกลายเป็นธรรมชาติขึ้นในโลก ด้วยเหตุนี้ในภาคกลางวันโลกจำต้องพึ่งพาอาศัยแสงอาทิตย์ ในภาคกลางคืนโลกจำต้องพึ่งพาอาศัยแสงจันทร์ อานุภาพของแสงอาทิตย์แสงจันทร์และระบบธาตุนี่เอง คือรากฐานการกำเนิดสรรพสิ่งขึ้นในโลก นักโหราศาสตร์จึงสรุปกลไกอันซับซ้อนของความสัมพันธ์นี้ว่า
 
อาทิตย์เป็นพ่อ จันทร์เป็นแม่ ราหูเป็นลูก
ดังนั้นตราบใดที่โลกยังเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ ตราบนั้นโลกยังต้องพึ่งพาอาศัยแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ เพื่อปรุงแต่งแปลงสภาพระบบธาตุให้เกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นในโลก
ชาวศรีวิชัยจึงสร้างสัญลักษณ์พระราหูอมจันทร์ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรู้ ความเข้าใจในจักรวาลทั้งระบบสุริยคติ และระบบจันทรคติอย่างแจ่มแจ้ง สามารถอธิบายให้เห็นถึงการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของวัฏจักร และวงจรชีวิต ทั้งแสดงให้เห็นว่าเหตุใดพราหมณ์จึงนับถือ ศิวลึงค์ และโยนีของพระแม่อุมาเทวี ก็เพราะว่าเขารู้เรื่องจักรวาลเป็นอย่างดี จึงแปลงสัญลักษณ์ของธรรมชาติเป็นเพศชายหญิงอันเป็นบรรพบุรุษของตนขึ้นกราบไหว้บูชา แต่หลักการอันเร้นลับถูกปกปิดไว้จนสำคัญผิดคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ สุริยุปราคา และจันทรุปราคา ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน แม้กระทั่งพระไตรปิฎกที่อ้างว่าผ่านการสังคายนากันมาหลายครั้ง ก็ยังจารึกเรื่องนี้ไว้อย่างไม่ถูกต้อง
ในที่นี้พระราหูอมจันทร์ แท้จริงแล้วเป็นภาพเชิงซ้อนของภาพพระราหูอมพระอาทิตย์กับภาพพระราหูอมพระจันทร์ ทับอยู่ในภาพเดียวกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่า โลก คือ พระราหู จำเป็นต้องได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ในตอนกลางวัน ได้รับแสงจากดวงจันทร์ในตอนกลางคืน โลกจึงบังเกิดสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติ
การเรียนรู้ธรรมชาติทำให้เราทราบถึงฤดูกาลและบังเกิดอารยธรรมอันสูงส่งขึ้นในโลก อย่างน้อยชาวนาชาวสวนก็รู้ว่าเมื่อไรจะถึงเวลาไถนาปักดำข้าวกล้า ควรเก็บเกี่ยวเมื่อไร ชาวทะเลทราบว่าเมื่อไรจะเกิดลมมรสุมไม่ควรนำเรือออกไปในทะเล หรือในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์นำวิชาความรู้มาสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะว่า พระราหู ไม่ใช่ยักษ์มารผีโขมดหรือความชั่วร้ายดังที่เข้าใจกันมา แต่พระราหูเป็นโลกของเรา เป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยสืบพันธุ์กันไปไม่มีที่สิ้นสุด สมดังคำกล่าวว่า พระราหู ได้กินน้ำอมฤตจึงไม่ตายเป็นอมตะและมีฤทธิ์จนเทวดาฟ้าดินยำเกรง
 
                                                                                              เรียบเรียงโดย
                                                                                           พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
                                                                                        (อดีต)ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 05, 2009, 01:17:46 AM โดย phuwadol » บันทึกการเข้า

ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก ฉันมีสมองเงินล้าน !

http://www.xenmax.com
phuwadol
webmaster
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 797


ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก

kunphu_plus@hotmail.com
เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 05, 2009, 12:17:04 AM »

พระราหูอมพระจันทร์ (เหมือนด้านบนเลย)

ในวิชาดาราศาสตร์ถือว่า โลก เป็นดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยจักรวาล เงามืดของโลกที่ไม่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ เรียกว่าพระราหู เช่นเดียวกับดาวเคราะห์ดวงอื่น แต่วิชาโหราศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคพยากรณ์ถือว่า โลก คือ พระราหู เป็นศูนย์กลางของจักรวาลระบบจันทรคติ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ดาวหาง ต่างเป็นบริวารต้องโคจรรอบโลกอยู่ตลอดเวลา อันเป็นที่มาของความเชื่อในเรื่อง พระราหูเทวบุตร มีฤทธิ์เดชไม่ยิ่งหย่อนกว่าเทวดาองค์ใดในสวรรค์ และตำนานการขโมยดื่มน้ำอมฤตของพวกเทวดา จนถูกจักรของพระนารายณ์กายขาดเป็น 2 ท่อน ล่องลอยอยู่ในชั้นฟ้า ท่อนหนึ่งเรียกว่า พระราหู คอยไล่จับพระอาทิตย์และพระจันทร์กลืนกิน แสดงให้เห็นถึงการค้นพบความลับของธรรมชาติมานานแสนนาน แต่ปกปิดซ่อนไว้ในรูปนิทานปรัมปรา ถ้าไม่ศึกษาค้นคว้าพิจารณาให้ถ่องแท้ ก็จะกลายเป็นความเชื่อที่งมงายไร้เหตุผล และไม่มีทางจะเข้าถึงศาสตร์ชั้นสูงอีกระดับหนึ่ง ที่เรียกว่า ญาณศาสตร์ ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าบรรลุชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้ ใครสำเร็จญาณชั้นที่ 8 ย่อมตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์
ดังนั้นก่อนที่จะไปถึงขั้นสำเร็จในระดับญาณศาสตร์ จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และเข้าใจ คุณสมบัติของระบบธาตุในโลก ระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศและระบบจักรวาล หรือทฤษฎีการหมุนเวียนไปรอบจุดศูนย์กลาง ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นบ่อเกิดของพลังศักดิ์สิทธิ์ของแม่เหล็กไฟฟ้า จนถึงการสร้างระเบิดมหาประลัย จึงต้องเข้าใจในเรื่องพระราหู ให้ถูกต้องตามหลักธรรมชาติเสียก่อน ต่อจากนั้นจึงพยายามเรียนรู้เรื่อง หางพระราหู
แท้จริงแล้วโลกของเราภาคกลางวันได้รับแสงอาทิตย์อันร้อนแรง แผดเผาจนวัตถุธาตุบนพื้นผิวโลกละลายกลายเป็นไอระเหยระเหิดลอยขึ้นไปในอากาศ ดังจะเห็นได้จากละอองไอน้ำลอยฟ่องในหมอกเมฆ ควันไฟ หรือสิ่งที่มองไม่เห็นนานาชนิด ฝุ่นละออง ธาตุของโลกที่ล่องลอยขึ้นไปในชั้นฟ้า มิได้หลุดลอยไปนอกโลก แต่ขึ้นไปสถิตอยู่บนชั้นบรรยากาศสะสมเพิ่มมากขึ้นทุกวัน อันเป็นที่มาของระบบดินน้ำลมไฟในชั้นบรรยากาศ ที่วิชาโหราศาสตร์เรียกว่า นวางค์ หรือ ตรียางค์ หรือความเชื่อในเรื่องเทวดามีวิมานอยู่บนสวรรค์ ดังนี้เป็นต้น การค้นพบความสำคัญของระบบชั้นบรรยากาศธาตุที่หุ้มห่อโลกไว้ คอยปรับสภาพอุณหภูมิบนพื้นผิวโลกให้เหมาะสมสำหรับเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นในโลก สืบพันธุ์กันไปไม่ขาดสายนี่เอง ตำนานชาติเวรของดวงดาวจึงบอกว่า พระราหู ถูกจักรพระนารายณ์ กายขาดเป็น 2 ท่อน แต่ไม่ตายเพราะดื่มน้ำอมฤตของเทวดา คือรากฐานการเกิดสรรพสิ่งในโลกโดยมีเหตุอ้างอิงและปฏิเสธเรื่องพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
กล่าวกันว่าระบบโลกธาตุที่ถูกแสงอาทิตย์เผาไหม้ ลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศนั้น ถูกแรงเหวี่ยงของโลกซึ่งหมุนรอบตัวเองและโคจรไปรอบดวงอาทิตย์กดดันควบคุมให้วนเวียน มีลักษณะเป็นเกลียวส่ายไปมาในอากาศ แต่ดวงตาของเรามองไม่เห็น เรียกกันว่า พระเกตุ อยู่ตรงข้ามกับพระราหู เพราะเป็นเรื่องราวของโลกในภาคกลางวัน เช่นเดียวกับธรรมชาติในโลกที่คนเราต้องทำงาน หาอาหารจนค่ำมืดจึงพักผ่อนนอนหลับไปในภาคกลางคืน
หากเข้าใจธรรมชาติของพระเกตุ หรือหางพระราหู ว่าโลกในภาคกลางวันคลื่นพลังแสงและความร้อนของดวงอาทิตย์ สร้างระบบธาตุให้แก่ชั้นบรรยากาศธาตุ เพื่อให้ดวงจันทร์ทำหน้าที่กลั่นกลองผสมธาตุบนชั้นฟ้าในเวลากลางคืน ต่อจากนั้นค่อยส่งแรงดึงดูดร่วมกับโลกแย่งชิงระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศป้อนให้แก่โลก ปรุงแต่งแปลงสภาพกลายเป็นธรรมชาติขึ้นในโลก ด้วยเหตุนี้ในภาคกลางวันโลกจำต้องพึ่งพาอาศัยแสงอาทิตย์ ในภาคกลางคืนโลกจำต้องพึ่งพาอาศัยแสงจันทร์ อานุภาพของแสงอาทิตย์แสงจันทร์และระบบธาตุนี่เอง คือรากฐานการกำเนิดสรรพสิ่งขึ้นในโลก นักโหราศาสตร์จึงสรุปกลไกอันซับซ้อนของความสัมพันธ์นี้ว่า
 
อาทิตย์เป็นพ่อ จันทร์เป็นแม่ ราหูเป็นลูก
ดังนั้นตราบใดที่โลกยังเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ ตราบนั้นโลกยังต้องพึ่งพาอาศัยแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ เพื่อปรุงแต่งแปลงสภาพระบบธาตุให้เกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นในโลก
ชาวศรีวิชัยจึงสร้างสัญลักษณ์พระราหูอมจันทร์ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรู้ ความเข้าใจในจักรวาลทั้งระบบสุริยคติ และระบบจันทรคติอย่างแจ่มแจ้ง สามารถอธิบายให้เห็นถึงการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของวัฎจักร และวงจรชีวิต ทั้งแสดงให้เห็นว่าเหตุใดพราหมณ์จึงนับถือ ศิวลึงค์ และโยนีของพระแม่อุมาเทวี ก็เพราะว่าเขารู้เรื่องจักรวาลเป็นอย่างดี จึงแปลงสัญลักษณ์ของธรรมชาติเป็นเพศชายหญิงอันเป็นบรรพบุรุษของตนขึ้นกราบไหว้บูชา แต่หลักการอันเร้นลับถูกปกปิดไว้จนสำคัญผิดคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ สุริยุปราคา และจันทรุปราคา ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน แม้กระทั่งพระไตรปิฎกที่อ้างว่าผ่านการสังคายนากันมาหลายครั้ง ก็ยังจารึกเรื่องนี้ไว้อย่างไม่ถูกต้อง
ในที่นี้พระราหูอมจันทร์ แท้จริงแล้วเป็นภาพเชิงซ้อนของภาพพระราหูอมพระอาทิตย์กับภาพพระราหูอมพระจันทร์ ทับอยู่ในภาพเดียวกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่า โลก คือ พระราหู จำเป็นต้องได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ในตอนกลางวัน ได้รับแสงจากดวงจันทร์ในตอนกลางคืน โลกจึงบังเกิดสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติ
การเรียนรู้ธรรมชาติทำให้เราทราบถึงฤดูกาลและบังเกิดอารยธรรมอันสูงส่งขึ้นในโลก อย่างน้อยชาวนาชาวสวนก็รู้ว่าเมื่อไรจะถึงเวลาไถนาปักดำข้าวกล้า ควรเก็บเกี่ยวเมื่อไร ชาวทะเลทราบว่าเมื่อไรจะเกิดลมมรสุมไม่ควรนำเรือออกไปในทะเล หรือในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์นำวิชาความรู้มาสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะว่า พระราหู ไม่ใช่ยักษ์มารผีโขมดหรือความชั่วร้ายดังที่เข้าใจกันมา แต่พระราหูเป็นโลกของเรา เป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยสืบพันธุ์กันไปไม่มีที่สิ้นสุด สมดังคำกล่าวว่า พระราหู ได้กินน้ำอมฤตจึงไม่ตายเป็นอมตะและมีฤทธิ์จนเทวดาฟ้าดินยำเกรง
 
                                                                                      เรียบเรียงโดย
                                                                                   พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
                                                                                (อดีต)ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 05, 2009, 12:24:56 AM โดย phuwadol » บันทึกการเข้า

ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก ฉันมีสมองเงินล้าน !

http://www.xenmax.com
phuwadol
webmaster
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 797


ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก

kunphu_plus@hotmail.com
เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 05, 2009, 12:17:47 AM »

ราหูอวตาร

เนื่องจากพระราหูได้โคจรบรรจบครบรอบจักรราศีอีกครั้งหนึ่งเรียกว่า  ราหูอวตาร คล้ายกันที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2531 แตกต่างกันแต่เพียงว่า  ในครั้งนั้น  องค์จตุคามรามเทพ  ได้กลับมาปรากฏในร่างทรงของมนุษย์ที่เรียกว่า  ร่างแปลงธรรม  เป็นครั้งแรก  เพื่อช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชนให้พ้นความวิบัติ  ตามวิถีทางการแผ่บารมีธรรมของพระเทวโพธิสัตว์  ก่อนที่  ดาวหางฮัลเล่ย์  จะทอแสงเหนือฟากฟ้าสยามประเทศ  เร่งรัดให้ผู้เขียนและศิษยานุศิษย์ช่วยกันสร้าง  หลักเมืองศรีวิชัย 12 นักษัตร  ขึ้นเหนือผืนแผ่นดินหาดทรายแก้วเสียก่อนจะเห็นแสงดาวหาง
นับจากนั้นเป็นต้นมา  รูปรอยตราพระราหูอมจันทร์ อมพระอาทิตย์  ซึ่งซ้อนทับอยู่ในรูปเดียวกัน อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความหมายที่สำคัญยิ่ง ขององค์ความรู้เกี่ยวกับ  จักรวาลวิทยา  การกำเนิดมนุษย์  สัตว์ และสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นมาในโลก  ที่ตกอยู่ภายใต้วงจรวัฎจักรของการหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่คงที่  เพื่อแสดงถึงภูมิปัญญาของบูรพาจารย์ศรีวิชัยในอดีต  องค์จตุคามรามเทพ  ได้ขอให้ผู้เขียนจำลองรูปแผนภูมิของจักรวาลทั้งหมดเป็นภาพประติมากรรม  ที่สามารถอธิบายให้เห็นถึงมิติของ  ศาสตร์ยิ่งใหญ่  และศิลป์อันงดงาม  ควบคู่กับการสร้าง  หลักเมืองนครศรีธรรมราช  ด้วยเหตุนี้  รูปพระราหูอมจันทร์ที่เรียงรายอยู่ในจักรราศีแท้จริง ก็คือ  เงาของดาวเคราะห์ทั้ง 8 ภาพดาว 12 นักษัตร  อธิบายให้เห็นถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของดาราจักร  หรือที่ดาราศาสตร์เรียกว่า กาแล็คซี่ ตลอดจนโลกธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ  ถูกน้ำมาเรียบเรียงอย่างลงตัวในรูป วัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช  กลายเป็นสิ่งแปลกใหม่ซึ่งไม่เคยมีในประเทศไทย  แต่สอดคล้องกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ อย่างชนิดที่ไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้เลย
วัตถุมงคลของศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช  ที่ผู้เขียนสร้างขึ้นตั้งแต่ปี  พ.ศ. 2529  เป็นต้นว่า  พระผงสุริยันจันทรา  พระปิดตาพังพระกาฬ  ผ้ายันต์แบบต่างๆ  แต่เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นของ สมนาคุณแก่ผู้ที่ทำบุญช่วยสร้างหลักเมืองด้วยความศรัทธา  ถ้าอยากได้ไปบูชาก็เหมือกนการให้เปล่า เพราะตั้งราคามแค่องค์ละ 29 บาทบ้าง 49 บาทบ้าง  แต่ในปัจจุบันขายกันเป็นเรือนหมื่นเรือนแสน  บางองค์ทะลุหลักล้านไปแล้ว  จึงเกิดมีสำนักต่างๆ วัดวาอารามปลอมแปลงทำเทียมเลียนแบบกันมากมาย  ถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์อยู่ในขณะนี้  จึงใคร่ขอเตือนท่านที่นิยมชมชอบวัตถุมงคล ของหลักเมืองนครศรีธรรมราชให้ระมัดระวัง การตกเป็นเหยื่อของพวกหลอกลวง  ซึ่งองค์จตุคามรามเทพมีความเป็นห่วง  ขอให้ผู้เขียนช่วยแนะนำประชาชนว่า  ถ้าไม่มีผู้เขียนนั่งกำกับเวลาฤกษ์อยู่ในพิธี  ไม่มีร่างทรงคนใหม่  และไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือด้ามมีดงาช้างแดง  คันฉ่องสำริสุริยันจันทรา  กริชโบราณ  ซึ่งแต่เดิมเป็นของประจำตัวองค์จตุคามรามเทพอยู่ในพิธีแล้ว  ถือว่าเป็นการหลอกลวงประชาชน  ถ้าท่านทั้งหลายรวมตัวกันได้ 15 คน ซื้อวัตถุมงคลปลอมแล้วไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหา  ฉ้อโกงประชาชน  พวกคนชั่วเหล่านั้นนอกจากจะติดคุกแล้ว  ก็ยังถูกยึดทรัพย์ด้วย  คนพวกนั้นไม่มีทางที่จะปกปิดความผิดของตนเองได้  เพราะจะต้องประกาศขายวัตถุมงคลปลอมทางสื่อมวลชน  และเปิดโอกาสให้ผู้คนสั่งจอง  หากทุกคนให้ความร่วมมือในที่สุด โรคระบาดในการปลอมแปลง วัตถุมงคลหลักเมืองนครศรีธรรมราช เหมือนไข้หวัดนกก็จะหมดไป
                     
                                                                                         เรียบเรียงโดย
                                                                                      พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
                                                                                   (อดีต)ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
                                                                                           27 มกราคม พ.ศ.2550
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 05, 2009, 12:25:20 AM โดย phuwadol » บันทึกการเข้า

ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก ฉันมีสมองเงินล้าน !

http://www.xenmax.com
phuwadol
webmaster
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 797


ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก

kunphu_plus@hotmail.com
เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: เมษายน 05, 2009, 12:45:19 AM »

คลื่นพระราหู

ดาวพระเคราะห์  ดาวฤกษ์  ซึ่งโคจรอยู่ในท้องฟ้าไม่ว่าใน  ระบบสุริยจักรวาล  หรือใน  ระบบดาราจักร  (กาแล็คซี่)  จะไม่มีอำนาจอิทธิพลอะไรเลยต่อโลกของเรา  เหมือนดังดาวพระเคราะห์ทั้งหลายที่โคจรไปด้วยความอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยวเป็นวัตถุธาตุที่ตายด้านไม่มีชีวิตชีวา  ถ้าปราศจาก  “อากาศธาตุ”  หรือที่เรียกว่า  ชั้นบรรยากาศ  ซึ่งแตกต่างกับ  “ธาตุลม”  ห่อหุ้มปกคลุมโลกของเราไว้ดุจดังเรือนกระจก  ขนาดมหึมา  พวงฤาษีในสมัยพระเวทซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ยุคแรกของโลก  ได้แบ่งระบบชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกออกเป็น  3 ชั้น  แต่ละชั้นสมมุติว่ามีจำนวน 11 องค์ครอบครองอยู่  รวมทั้งสิ้นเป็น 33  ชั้น  เรียกว่า  “ไตรตรึงเทพ”  โดยมี  พระอินทร์  ทรงช้างเอราวัณ 3 เศียร  เป็นพาหนะเป็นใหญ่อยู่ในสวรรค์ชั้นบรรยากาศ  ชาวอารยันนับถือว่าเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์  ทรงเป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ตนจึงเรียกนามเชื้อชาติของตนว่า  อินเดีย  ทั้งยังเชื่อว่า  พระอินทร์  มีผิวกายเป็นสีเขียว  หรือสีคล้ำเข้ม คล้ายสีก้อนเมฆฝนในท้องฟ้า  เมฆฝนตกลงมาเป็น  น้ำฝน  เพื่อหล่อเลี้ยงโลกให้เกิดความชุ่มฉ่ำมีความสมบูรณ์พูนสุขแก่สัตว์โลกฉันใด  พระอินทร์  ก็สามารถ  อวตาร  ลงมาเป็นมนุษย์เพื่อช่วยปราบยุคเข็ญขจัดความชั่วร้าย ช่วยเหลือบ้านเมืองและประชาชน ให้พ้นจากความทุกข์ยากเดือดร้อน  แม้ว่าพวกพราหมณ์ในสมัยต่อมาจะยกย่องเทพเจ้าที่ศาสนาพราหมณ์นิกายที่ตนนับถือ  เช่น  พระนารายณ์  พระศิวะ  พระพรหม  ว่าเป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่า  พระอินทร์ หรือ  พระวิษณุ  ทั้งยังอวตารมาเป็นมนุษย์เพื่อลบล้างความยิ่งใหญ่ของพระอินทร์ โดยไม่ทราบถึงรากฐานความเป็นมาของหลักอภิปรัชญายิ่งใหญ่แห่งโลกว่า  แท้จริงแล้วสิ่งทั้งหลายล้วนแต่เป็นมายา  การสมมุติให้  พระอินทร์  เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นฟ้า ก็เพื่อซุกซ่อนการค้นพบความจริงอันล้ำลึก ที่แผ่กระจายอยู่ในชั้นบรรยากาศที่นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่เรียกว่า   “ชั้นโทรโพสเฟียร์”  ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยประมาณ  15 กิโลเมตร
ชั้นบรรยากาศที่ พระอินทร์ หรือ ท้าวสหัสนัยไตรตรึงษา  เป็นหัวหน้าของเทพเจ้าครอบครองเป็นใหญ่อยู่นั้น  แท้จริงแล้วเป็นอากาศธาตุที่ประกอบด้วย  ธาตุดิน น้ำ  ลม  ไฟ  เหมือนดั่งระบบธาตุในโลก  และยังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ  ชั้นบรรยากาศด้านที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ในภาคกลางวัน  วิชาโหราศาสตร์เรียกว่า  “พระเกตุ”  อันเป็นสาระสำคัญในการอธิบายความรู้ในเรื่อง  คลื่นพลังชีวิต  อีกส่วนหนึ่งเป็นชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก  ด้านที่ไม่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ตลอดกาล  วิชาโหราศาสตร์เรียกว่า  “พระราหู”  โลกคือพระราหู  พระราหูคือโลกจริงเท็จอย่างไรหรือไม่นั้น  ยากที่จะตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิดเพราะเป็นความคิดเห็นแต่ละบุคคลซึ่งไม่เหมือนกัน  แต่สิ่งที่เป็นสัจธรรมก็คือโลกของเราต้องตกอยู่ใน  ภาคกลางคืน  เป็นระยะเวลา 12 ชั่วโมงในรอบ 1 วัน  โลกในภาคกลางคืนนี่แหละคือ  พระราหู  ถ้าไม่มีโลกภาคกลางคืนเสียแล้ว ถึงแม้ว่าโลกของเรามีชั้นบรรยากาศห่อหุ้มอย่างพิเศษพิศดารขนาดไหน ก็คงไม่มีสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติเกิดขึ้นในโลกได้เลย  พระราหู  จึงอุปมาดังตัวการสำคัญที่บันดาลให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นในโลก  หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สิ้นสุด  ฝ่ายโลกตระจึงประณาม และให้ฉายา  พระราหูว่า  เป็นมาร  ส่วนฝ่ายโลกียะยกย่องว่าเป็นเทพบุตร  ชาตินักเลงผู้ไม่เกรงกลัวเทวดาหน้าไหน  ราชโอรสของกษัตริย์ศรีวิชัยพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า  พระเจ้ามาราวิชโยตุงคะ  มีชื่อเสียงเกรียงไกรอยู่ในประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรทะเลใต้  ดังนั้นคำว่า ยักษ์  คำว่ามาร  จึงไม่อาจไปจำกัดความว่า  ดี หรือ ร้าย  สุดแล้วแต่เป็นความเห็นฝ่ายใด  เพราะว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกอยู่ภายใต้  “ทวิภาวะ”  คือแบ่งออกเป็น 2 ทาง 2 ขั้ว  เสมอไปจนกว่าจะบรรลุปรมัตสัจธรรมเข้าถึงความเป็น หนึ่งเดียว  ดังปรากฏหลักธรรม คำสอนอยู่ใน  อภิปรัชญาสางขยะลัทธิ
 
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ยุคใหม่  และยานอวกาศทั้งไม่มีมนุษย์และมีมนุษย์ควบคุม  ได้เดินทางไปสำรวจดาวพระเคราะห์และจักรวาลยืนยันตรงกันว่า  ทุกชีวิตบนโลกต้องอาศัยบรรยากาศเพื่อการดำรงชีวิต  เหนือบรรยากาศ  ชั้นโทรโฟสเฟียร์ขึ้นไปในราว 45 กิโลเมตร  หรือประมาณ 60 กิโลเมตร  เหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย  เรียกว่าบรรยากาศ  “ชั้นสตราโตสเฟียร์”  ความเข้มของโอโซนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตมากพอกับ น้ำ  และอากาศหายใจ  บางเบาจนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้  แต่สิ่งมีชีวิตในโลกต้องพึ่งพาอาศัยโอโซน ช่วยดูดกลืน  รังสีอุลตราไวโอเลต  จากดวงอาทิตย์ไม่ให้เป็นอันตรายต่อโลก  และยังรักษาอุณหภูมิบนชั้นบรรยากาศ  และบนพื้นผิวโลกให้เป็นปกติด้วย  ความรู้ที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่ร้อยปี  พระฤาษีในยุคพระเวท  ผู้รจนาคัมภีร์โหราศาสตร์ก็กล่าวถึงเรื่องราวของพระราหู  ไว้ในตำนานชาติเวรแห่งดวงดาว  และอธิบายให้เห็นถึงจุดบรรจบกันเอง  ภาคพื้นโลกของมนุษย์กับ  ภาคสวรรค์ของเทพบุตรเทพธิดา  ณ  จุดสูงสุดของชั้นบรรยากาศ  อันถือว่าเป็นสถานที่เกิดเหตุซึ่ง  พระราหูเทพบุตร  ได้ก่ออาชญากรรมขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์แห่งจักรวาล  สืบสานต่อเนื่องมาเป็นซาตานในโลกมนุษย์
ภูมิหลังทางวิทยาศาสตร์ทำให้เรารู้ว่า บรรยากาศ  “ชั้นสตราโตสเฟียร์”  ซึ่งอยู่สูงไปจากพื้นผิวโลกประมาณ 60 กิโลเมตร  เป็นชั้นบรรยากาศที่แห้งแล้งและไม่มีเมฆเลย  คนโบราณรู้ได้อย่างไรว่าขอบเขตสุดท้ายของชั้นบรรยากาศ  เคลื่อนที่ไปในรูปวงจรในลักษณะสวนทางกับการโคจรของดาวพระเคราะห์ทั้งปวง มีอาการสั่นไหวเป็นละลอกพริ้วไปดุจดังคลื่นในมหาสมุทรท่ามกลางความมืดมิด  เรียกสิ่งมหัศจรรย์พันลึกนั้นว่า  “คลื่นพระราหู”
 
                                                                                              เรียบเรียงโดย
                                                                                           พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
                                                                                        (อดีต)ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 05, 2009, 09:00:55 PM โดย phuwadol » บันทึกการเข้า

ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก ฉันมีสมองเงินล้าน !

http://www.xenmax.com
phuwadol
webmaster
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 797


ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก

kunphu_plus@hotmail.com
เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: เมษายน 05, 2009, 12:50:07 AM »

ชาติเวรแห่งดวงดาว

ความพยายามในการปกปิดซ่อนเร้นผลการค้นพบความจริงที่ล้ำลึกยิ่งใหญ่  ตรงบริเวณชายขอบของ  โลกมนุษย์  และ โลกสวรรค์  ของนักดาราศาสตร์ในยุคพระเวท  ซึ่งรู้ถึงความลี้ลับเกี่ยวกับ  “คลื่นพระราหู”  ในระบบชั้นบรรยากาศของโลก  และ “นวางค์จักร”  อันเป็นอนุภาคแสงดาวเคราะห์ที่สะท้อนมาหยุด อยู่บริเวณชายขอบของระบบชั้นบรรยากาศนอกโลก  ทั้งยังรู้แน่นอนว่า  แสงของสุริยเทพ  นอกจากส่งพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เข้ามายึดเหนี่ยวโลกของเราไว้ไม่ให้หลุดลอยออกไปนอกระบบสุริยะจักรวาล  แล้วยังบังคับให้โลกของเราหมุนปั่นไปรอบตนเอง  นอกจากเพื่อรับแสงสว่างและพลังความร้อน เพื่อเพิ่มพูนพลังแม่เหล็กไฟฟ้าภายในตัวเอง  เหมือนดังการชาร์จแบตเตอรี่ของระบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เทียมทางวิทยาศาสตร์ในเกิดพลังเต็มที่  การหมุนรอบตัวเองในลักษณะแกว่งส่ายเหมือนดังลูกข่างของโลก  การแผ่คลื่นรังสีความร้อนของแสงอาทิตย์ในภาคกลางวัน  ยังกดดันระบบธาตุในชั้นบรรยากาศของโลกให้ไหลเข้าไปรวมตัวอยู่ในเงามืดที่เรียกว่า  พระราหู หรือ โลกในภาคกลางคืน
ภายในเงามืดภาคกลางคืนของโลกมีลักษณะเป็น  สนามธาตุ  ที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองแร่ธาตุแผ่กระจายอยู่ทั่วไป  ละอองฝุ่นของกระแสธาตุภายในเงามืดที่มีอุณหภูมิเย็นขึ้น  เป็นสื่อทางเดินของธาตุไฟที่มีประสิทธิภาพ  สามารถเข้าไปผสมผสานกับลมหายใจของคนเรา  ดังจะสังเกตได้จากยามใกล้พลบค่ำ  พระราหู  เริ่มย่างกายเข้ามาเยือน  ปฏิกิริยาปั่นป่วนของคลื่นพระราหูจะแผ่ขยายตัวมากระตุ้นระบบประสาทสมอง  กดดันจิตใจเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย  บางคนอยากพักผ่อนนอนหลับหลังจากตรากตรำทำงานกันมาในตอนกลางวัน  บางคนอยากหามุมสงบเงียบ เพื่อพักผ่อนหย่อนอารมณ์ หรือบำเพ็ญภาวนาสมาธิ  บางท่านอยากดื่มเครื่องดองของมึนเมา  อยากหาความสำราญด้วยการท่องราตรีเพลิดเพลินจากสิ่งเย้ายวนตามใจปรารถนา  เมื่อเงามืดของพระราหูได้เข้ามากดประสาทเพิ่มมากขึ้น  ในที่สุดก็จะเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอนแล้วก็หลับไป
พระราหู  เราพบเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  นับตั้งแต่แสงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า  ความมืดก็เริ่มย่างกรายเข้ามาเยือน  ซีกโลกด้านที่ไม่ได้รับแสงสว่างจากดงอาทิตย์จึงตกอยู่ในอาณาเขตของเงามืดซึ่งปรัชญาโหราศาสตร์เรียกว่า  ราหู  ก็คือ  ภาคกลางคืนของโลก ซึ่งไม่น่าจะมีเรื่องอะไรน่าพิศวงพิสดารมากมาย  แต่นักอภิปรัชญาโหราศาสตร์  ค้นพบว่า  กระแสธาตุในชั้นบรรยากาศรอบนอกของโลก  ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับระบบแสงและระบบธาตุของดาวพระเคราะห์ทั้งหลาย ในระบบนวางค์จักร  ถูกพลังอำนาจดึงดูดของคลื่นพระราหูให้รวมตัวกันในความมืดอันหนาวเหน็บ เกิดมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ลอยตัวต่ำลงมาใกล้พื้นโลกมากขึ้น แต่โลกก็ยังไม่สามารถดึงดูดมาได้  เพราะว่าแรงดึงดูดของดาวพระเคราะห์ในจักรวาลเหนี่ยวรั้งเอาไว้  เหมือนดังคนชักคะเย่อไม่มีฝ่ายใดเอาชนะได้  ต้องรอคอยจังหวะเมื่อ  แสงอาทิตย์ แสงจันทร์  เข้ามาตัดกระแสแสงดาวพระเคราะห์ให้ขาดจากกัน  ทำให้แรงดึงดูดสูญเสียความสมดุล  โลกได้รับการสนับสนุนจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์  จึงดูดกระแสธาตุจากชั้นบรรยากาศลงมาเลี้ยงโลกเราอยู่ตลอดเวลา  โลกจึงบังเกิดสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติ
กระบวนการทำงานของ  พระราหู  ซึ่งเป็นไปในลักษณะลักขโมย  ระบบธาตุที่ผสมผสานกันในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์  ลงมาสู่ชั้นบรรยากาศโทรโพสเฟียร์  เพื่อลงมาป้องให้แก่โลกในรูปวงจรอย่างน่าอัศจรรย์  โหราจารย์ในอดีตจึงเก็บงำผลการค้นพบรากฐาน ก่อให้เกิดสรรพสิ่งขึ้นในโลกไว้ในเทพนิยายเรื่อง  ตำนานชาติเวรแห่งดวงดาว ซึ่งพอสรุปได้ดั่งนี้  กาลครั้งหนึ่งเทวดาบนสวรรค์ชั้นฟ้าได้มาประชุมตกลงกัน เพื่อสร้างสระน้ำอมฤตขึ้นในเทวโลก  จึงออกปากชักชวน  พระราหูเทพบุตร  แต่พระราหูถือตนกลายเป็นนักเลงใหญ่มีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าเหล่าเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลาย แกล้งเถรไถลไม่ยอมให้ความร่วมมือครั้นพวกเทวดาสร้างสระน้ำอมฤตเสร็จสิ้น  พระราหูฉวยโอกาสแอบเข้าไปขโมยดื่มกิน  แต่พระอาทิตย์พระจันทร์ไปพบเห็นการก่ออาชญากรรมในสวรรค์เข้า  ได้นำความไปกราบทูลฟ้องร้องต่อพระนารายณ์ผู้เป็นใหญ่ พระองค์ทรงพิโรธขว้างจักรไปถูกพระราหูกายขาดเป็น 2 ท่อน  เดชะบุญที่ได้ดื่มกินน้ำทิพย์ของพวกเทวดาจึงไม่ตาย  กลายเป็นอสุรกายล่องลอยอยู่บนชั้นฟ้าด้วยความอาฆาตแค้น  คอยไล่จับ  พระอาทิตย์  พระจันทร์ กลืนกิน อันแสดงให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ธาตุของดาวพระเคราะห์ กับธาตุในชั้นบรรยากาศ  เดินทางเข้ามาผสมกับระบบธาตุในโลกโดยอาศัย  ระบบอากาศธาตุภายในเงามืดของโลก  หรือ  พระราหู  เป็นสื่อ  ปรัชญาโหราศาสตร์จึงกล่าวว่า  พระราหู  ไม่ถูกชะตากับ  ดาวพระเคราะห์ดวงใดนอกจาก  พระเสาร์  คบหาสมาคมเป็นเพื่อนรักเพื่อนเกลอกัน  ว่าอะไรก็ว่าตามกัน
ทั้งนี้เพราะว่าโหราจารย์ได้เฝ้าติดตามสังเกตการโคจรของ  ดาวพระเสาร์  มาเป็นเวลานานจนกระทั่งพบว่าแสงและธาตุ  ของดาวพระเสาร์มีอิทธิพลต่อ  ธาตุดิน ธาตุไฟ  ในโลก  คราใดที่ดาวพระเสาร์โคจรอยู่ในภพมรณะ ภพวินาศ  ต่อดวงชะตาของโลก  มักเกิดแผ่นดินไหว  ภูเขาไฟระเบิดอย่างรุนแรงเสมอ  จึงกำหนดให้  ดาวพระเสาร์ มีอำนาจ ราศีมังกร  ธาตุดิน  ส่วนราศีกุมภ์  ธาตุลม  กำหนดให้ ดาวพระเสาร์  และดาวราหู อยู่ร่วมราศีเดียวกัน  อันถือว่าเป็น  จุดลัคนาของโลก  เพราะตรงจุดนั้นเป็นจุดสมมุติทางทิศตะวันตก อันเป็นจุดที่ดวงตะวันลับขอบฟ้า  ถ้าลากเส้นจากจุดนั้นไปยังทิศตรงข้าม  ก็จะเป็นจุดขอบฟ้าของทิศตะวันออก ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการศึกษาค้นคว้า วิชาดาราศาสตร์ยุคดึกดำบรรพ์จนกระทั่งมีความรู้สามารถ จัดแบ่งโลกเป็นภาคกลางวันและกลางคืนภายในวงกลมคือ  “จักรราศี”  แบ่งแยกจักรราศีออกเป็น 12 ส่วน  เพื่อรองรับแสงอาทิตย์ และแสงดาวเคราะห์  ที่โคจรหมุนเวียนไปในรูปวงจร  โดยถือเอาจุดที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเป็นจุดเริ่มต้นนับวันใหม่ ไปสิ้นสุดเมื่อตะวันตกดินอีกครั้งหนึ่ง  จึงวาง พระราหู ไว้ตรงต้นนับเวลาภาคกลางคืนใน  ราศีกุมภ์  เพื่ออธิบายนัยความหมายของภาควิชาโหราศาสตร์ให้รู้ว่า  ถึงเวลาที่  พระราหู  จะแอบลักขโมยระบบธาตุชั้นบรรยากาศ  อันเป็นธาตุผสมกันระหว่าง  ธาตุของดาวเคราะห์ในจักรวาล  กับ  ธาตุของโลกชั้นบรรยากาศ  นักอภิปรัชญาอินเดียกลัวว่าผู้คนจะล่วงรู้ความลับ  จึงซุกซ่อนไว้ในเทพนิยายเรื่อง  เทวดาชุมนุมกันกวนน้ำอมฤต  พระราหูประกอบอาชญากรรมเพื่อนำกระแสธาตุจากชั้นฟ้าลงมาเลี้ยงพลโลก  ให้บังเกิดความสมบูรณ์พูนสุข  กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นผีโขมด  เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าแท้จริงแล้ว  พระราหู คือโลกภาคกลางคืน
 
                                                                                                 เรียบเรียงโดย
                                                                                                   พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
                                                                                           (อดีต)ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
บันทึกการเข้า

ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก ฉันมีสมองเงินล้าน !

http://www.xenmax.com
phuwadol
webmaster
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 797


ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก

kunphu_plus@hotmail.com
เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: เมษายน 05, 2009, 01:12:05 AM »

นวางค์จักร

ปรัชญาโหราศาสตร์กล่าวว่าถ้าปราศจาก  คลื่นพระราหู  ในชั้นฟ้าแล้ว  สิ่งมีชีวิตกับธรรมชาติเกิดขึ้นในโลกไม่ได้เลย  โหราจารย์อธิบายความหมายให้เห็นถึงศาสตร์เร้นลับว่า  ดาวพระเคราะห์ซึ่งทอแสงริบหรี่อยู่บนฟากฟ้านั้น  ไม่มีแรงกล้าเพียงพอที่จะส่องแสงลงมายังพื้นผิวโลกได้  ดวงดาวจึงไม่น่าที่จะมีอิทธิพลดลบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ดีหรือร้ายแก่โลกและคนเราได้เลย  ถ้าปราศจาก ชั้นบรรยากาศธาตุ หรือ คลื่นพระราหู  เป็นสื่อคอยกลั่นกรองละอองธาตุของดวงดาวมาจากนอกโลก  ให้เกิดการรวมตัวผสมผสานกันขึ้นในชั้นฟ้า  ก่อนที่จะหลั่งไหลมาผสมผสานกับระบบธาตุในโลก  เพื่อปรุงแต่งแปลงสภาพให้เกิดสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าต้องการก็คือ  สิ่งมีชีวิต  และธรรมชาติ  ซึ่งพระโยคีในยุคพระเวทสมมุติว่า มายา
กระบวนการกลั่นกรองละอองธาตุของ  ดาวพระเคราะห์  นอกขอบเขตชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกไว้เป็นชั้นๆ  โหราจารย์ล่วงรู้ได้จากการค้นพบ สี แสง ธาตุ  ของดาวพระเคราะห์ซึ่งสัมพันธ์กันเป็นคู่ๆ  คล้ายกับ ขั้วบวก  ขั้วลบ  ในวิชาวิทยาศาสตร์ที่กล่าวถึง  “อิเล็คตรอน”  อันเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขั้วลบ  วิ่งวนเวียนไปรอบๆ  “โปรตรอน”  และ  “นิวตรอน”  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขั้วบวก  ซึ่งรวมตัวอยู่ตรงศูนย์กลางของนิวเคลียส  ด้วยการแบ่งดาวพระเคราะห์ออกเป็น 2 กลุ่ม  ได้แก่  ดวงจันทร์  ดาวพุธ  ดาวศุกร์  ดาวพฤหัสบดี  เป็นกลุ่มดาวพระเคราะห์ขั้วบวก  เรียกว่า  ดาวศุภเคราะห์  ดวงอาทิตย์  ดาวอังคาร  ดาวเสาร์  และโลก  เป็นกลุ่มดาวพระเคราะห์ขั้วลบ  เรียกว่า  ดาวบาปเคราะห์  ศึกษาสังเกตติดตามมาเป็นเวลาช้านานจนรู้ว่าทำปฏิกิริยาต่อกันเป็นอย่างไร  โดยอาศัยการโคจรให้แสงของดวงอาทิตย์ เป็นสิ่งตัดสินยึดถือเอาการโคจรของโลกไปรอบดวงอาทิตย์ในแต่ละ 1 รอบอายุขัย  หรือ  ประมาณ 365 วันเศษ เป็นตัวกำหนดตั้งต้นของ  แสงและธาตุของดาวพระเคราะห์ ที่เดินทางหลั่งไหลเข้ามาห่อหุ้มปกคลุมระบบชั้นบรรยากาศของโลกอยู่ตลอดเวลา  โดยสมมุติให้เป็นเหมือนดังระบบธาตุในโลก  คือ  ธาตุดิน  ธาตุน้ำ  ธาตุลม  ธาตุไฟ  เรียงรายกันไปตาม  จักรราศี  อันเป็นโครงสร้างพื้นฐานของมนุษย์ในการศึกษาค้นคว้าหาความจริงของจักรวาล  รวมทั้งสิ้น 108 ธาตุ  หรือเรียกในภาษาโหราศาสตร์ว่า “นวางค์จักร”  ที่พวกนักบวชนักบุญนำมาประยุกต์ใช้เป็นสร้อยลูกประคำ 108 ลูก  นับถือกันว่าเป็นเครื่องลางของขลังที่ศักดิ์สิทธิ์อีกชนิดหนึ่ง  เพราะว่าเป็นการจำลอง  ระบบนวางค์จักร  ในสวรรค์ชั้นฟ้าลงมาสร้างเสริมโชคชะตาของมนุษย์
 
                                                                                                   เรียบเรียงโดย
                                                                                            พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
                                                                                        (อดีต)ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
บันทึกการเข้า

ภายในของฉันสร้างสรรค์ภายนอก ฉันมีสมองเงินล้าน !

http://www.xenmax.com
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

B l a c k - R a i n V.2 by C r i p ~ Powered by SMF 1.1.16 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF XHTML | CSS   

หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.235 วินาที กับ 23 คำสั่ง (Pretty URLs adds 0.00099999999999997s, 0q)